การรู้ดิจิทัล ( Digital Literacy)
ในปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากยุคอนาล็อกสู่ยุคดิจิทัลและยุคเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ส่งผลให้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตและการทำงาน สถาบันการศึกษาจึงมีภารกิจในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสังคม โดยเฉพาะการเป็นบัณฑิตที่มีคุณลักษณะพึงประสงค์และมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ สถานศึกษาในฐานะกลไกหลักของการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ทักษะด้านความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ การทำงาน การสร้างคุณค่าและความคุ้มค่าในการดำเนินชีวิต อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศตามแนวทางประเทศไทย 4.0 นอกจากนี้ เทคโนโลยียังเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีงานทำที่มั่นคงและการเติบโตในสายอาชีพอย่างยั่งยืน
ความหมายของการรู้ดิจิทัล
การรู้ดิจิทัล เป็นทักษะความสามารถในการใช้งาน เรียนรู้ ด้วยความสามารถพื้นฐานในการใช้อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยเข้าถึงสารสนเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ บนเครือข่ายสารสนเทศ โดยสามารถสืบค้น เข้าถึง รวบรวม ประเมิน และสร้างสารสนเทศได้อย่างเหมาะสม นำไปใช้ในการตอบสนองการทำงานต่าง ๆ อย่างมีจริยธรรม
ความสำคัญของการรู้ดิจิทัล
การรู้ดิจิทัลถือเป็นทักษะสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่สังคมจะปรับตัวได้ทัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำงานและการดำเนินชีวิตมีความรวดเร็วและง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ทั้งในด้านบรรทัดฐานทางสังคม กรอบกฎหมาย และมาตรฐานของพฤติกรรมที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมดิจิทัล
การรู้ดิจิทัลมีบทบาทต่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การทำงาน และการสื่อสารในโลกออนไลน์ ทั้งยังส่งเสริมความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ การสร้างนวัตกรรม และการใช้ความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ บุคคลที่มีความรู้ดิจิทัลสามารถเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล สร้างเนื้อหาใหม่ในรูปแบบสื่อดิจิทัลที่หลากหลาย ตลอดจนใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารอย่างมีความรับผิดชอบโดยคำนึงถึงจริยธรรมและผลกระทบทางสังคม
นอกจากนี้ การรู้ดิจิทัลยังช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันผ่านเครื่องมือออนไลน์ การแบ่งปันความรู้ และการแก้ไขปัญหาสังคมในลักษณะร่วมมือ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่าการรู้ดิจิทัลมิได้เป็นเพียงทักษะการใช้เทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นกรอบความสามารถที่หลอมรวมความเข้าใจ การคิดเชิงวิพากษ์ การสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบทางสังคม เพื่อให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพในสังคมยุคดิจิทัล
ความสัมพันธ์ของทักษะการรู้สารสนเทศและการรู้ดิจิทัล
การรู้สารสนเทศและการรู้ดิจิทัลเป็นทักษะที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันและมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน การรู้สารสนเทศเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีจุดเริ่มต้นจากการจัดการเรียนการสอนในห้องสมุดระดับอุดมศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถค้นหา ประเมิน และใช้สารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อมาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและอินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงบริบทการเข้าถึงความรู้ไปสู่สภาพแวดล้อมดิจิทัล ทำให้การรู้สารสนเทศจำเป็นต้องพัฒนาและผสานเข้ากับทักษะการรู้ดิจิทัล
การรู้ดิจิทัลเป็นความสามารถในการเข้าถึง ประเมิน ใช้ และสร้างสรรค์สารสนเทศในรูปแบบดิจิทัลอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ โดยมีจุดร่วมกับการรู้สารสนเทศในด้านการตระหนักถึงความต้องการข้อมูล การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม การวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือ ตลอดจนการใช้สารสนเทศเพื่อการเรียนรู้และการทำงานอย่างสร้างสรรค์ หากพิจารณาเชิงลำดับขั้น การรู้สารสนเทศถือเป็นพื้นฐานที่ทำให้บุคคลสามารถกำหนดความต้องการข้อมูลได้ชัดเจนและเลือกใช้เครื่องมือดิจิทัลที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน การรู้ดิจิทัลช่วยเสริมให้การเรียนรู้สารสนเทศในสภาพแวดล้อมดิจิทัลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองแนวคิดจึงมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาและส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยการรู้สารสนเทศเป็นกรอบความเข้าใจที่กว้างครอบคลุมการใช้สารสนเทศในมิติทางวิชาการและสังคม ส่วนการรู้ดิจิทัลทำหน้าที่เป็นทักษะเชิงปฏิบัติที่ช่วยให้การเข้าถึงและการใช้สารสนเทศในยุคดิจิทัลมีความคล่องตัวและมีคุณภาพมากขึ้น ดังนั้น การพัฒนาทักษะทั้งสองควบคู่กันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เรียนและผู้ปฏิบัติงานในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมข้อมูลจำนวนมหาศาลและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
องค์ประกอบของการรู้ดิจิทัล
แนวคิดของบาวเดน
บาวเดน (Bawden, 2008) ได้กำหนดองค์ประกอบของทักษะการรู้ดิจิทัลไว้ 4 องค์ประกอบ ดังนี้
1. ทักษะพื้นฐาน (Basic skills) เช่น การรู้หนังสือ การอ่านออกเขียนได้ และการรู้คอมพิวเตอร์ สนับสนุนให้เกิดความเข้มข้นมากกว่าทักษะเดิม ซึ่งต้องมีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อผนวกกับการทำงานจึงจะเป็นการรู้ดิจิทัล
2. พื้นฐานความรู้ (Background Knowledge) มีความสัมพันธ์กับสารสนเทศและต้องเข้าใจธรรมชาติของทรัพยากรสารสนเทศที่มีรูปแบบจากหนังสือ หรือทรัพยากรสารสนเทศประเภทสิ่งตีพิมพ์ ตัวผู้ใช้สารสนเทศเข้าถึงทรัพยากรทางห้องสมุดได้ มีความเข้าใจในรูปแบบใหม่ของสารสนเทศด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และเหมาะสมในโลกของสารสนเทศดิจิทัล
3. สมรรถนะหลักหรือสมรรถนะที่สำคัญ (Central Competencies) ประกอบด้วย 1) การอ่านและทำความเข้าใจสารสนเทศทั้งรูปแบบดิจิทัลและรูปแบบที่ไม่ใช่ดิจิทัล 2) การสร้างและการสื่อสารสารสนเทศดิจิทัล 3) การประเมินสารสนเทศ 4) การสะสมความรู้จากหลายแหล่ง 5) การรู้สารสนเทศ และ 6) การรู้เท่าทันสื่อ สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะพื้นฐานและสมรรถนะที่นานาประเทศพยายามประเมินระดับการรู้ดิจิทัลอย่างเที่ยงตรงและเอาจริงเอาจัง
4. ทัศนคติและมุมมอง (Attitude and Perspective) มีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้อย่างเสรี และการรู้คุณธรรม/การรู้สังคม ทัศนคติและมุมมองนั้นจะเป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างแนวใหม่ของการรู้ดิจิทัลและความคิดเก่าของความรู้ในอดีต
ทีผ่านมาซึ่งมีทักษะและสมรรถนะไม่เพียงพอ ทัศนคติ และมุมมองมีรากฐานจากกรอบจริยธรรมร่วมกับการศึกษาที่เข้มข้น ซึ่งมีข้อโต้แย้งถึงความยากที่สุดของการสอนและการปลูกฝังทุกองค์ประกอบอย่างไรก็ตามผู้สอนพยายามใช้สารสนเทศให้ใกล้กับการดำเนินชีวิตมากที่สุด ตามแรงกดดันของการเปลี่ยนร่างและโครงสร้าง
แนวคิดของเฮกและเพทัน
เฮกและเพทัน (Hague & Payton, 2010) ได้นําเสนอองค์ประกอบของการรู้ดิจิทัลเป็นคู่มือสำหรับผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อไว้สำหรับปลูกฝังการรู้สารสนเทศควบคู่กับการรู้ดิจิทัลในการสร้างนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาไว้ 8 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ทักษะการทำงานในหน้าที่ (Functional Skills) มุ่งเน้นความรู้และทักษะเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารบูรณาการกับความรู้วิชาต่าง ๆ เช่น การบูรณาการทางความรู้และทักษะระหว่างวิชาภาษาอังกฤษกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
2. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity ความสามารถในการจินตนาการเชื่อมโยงระหว่างความคิดและการสร้างสรรค์ผลงานหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือแนวความคิดใหม่ ๆ หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งการรู้ดิจิทัลเกี่ยวข้องทั้งการใช้สารสนเทศและเทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณ รวมไปถึงการผลิตสื่ออย่างสร้างสรรค์ เช่น ผู้เรียสามารถสร้างเว็บไซต์ด้วยตนเองสำหรับผู้ชมเฉพาะกลุ่ม (เด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงวัย รวมถึงผู้พิการ และตามวัยผู้ใช้งาน หรือตามแต่สถานการณ์ของการใช้งานนั้น ๆ) ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความสามารถในการจัดการภาพ ตัดต่อวิดีโอ การใส่เสียง นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ อย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ผู้ชมเกิดความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกของการรับชม
3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการประเมินผล (Critical Thinking and Evaluation) เป็นการคิด วิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูลหรือสารสนเทศ โดยใช้ทักษะการให้เหตุผลร่วมกับสื่อเพื่อเกิดการตั้งคำถาม นำไปสู่วิเคราะห์ การกลั่นกรอง การประเมินสารสนเทศและการสร้างข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสื่อดิจิทัลนั้น ๆ ที่นำมาพิจารณาได้ ทั้งนี้ยังเป็นการสะท้อนการตีความหมาย และการกำหนดความสำคัญของเรื่องที่พิจารณา เพื่อทำให้การตัดสินใจให้ตรงตามวัตถุประสงค์
4. ความเข้าใจทางสังคมและวัฒนธรรม (Cultural and Social Understanding) เป็นความสามารถในการทำความเข้าใจและแบ่งปันความหมายของการสื่อสารในแต่ละสังคมและวัฒนธรรมผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล จำเป็นต้องเข้าใจปฏิกิริยาที่แสดงออกมามีลักษณะที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน เพราะมีความแตกต่างของวัฒนธรรม รวมทั้งจะต้องทำความเข้าใจถึงสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
5. การร่วมมือ (Collaboration) เป็นความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ โดยผู้เรียนจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ แบ่งปัน และทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีความสามารถอธิบายความคิด และการยอมรับความคิดเห็นคนอื่น รับฟังความคิดเห็นคนอื่นมากขึ้น นี้ยังเป็นการพัฒนาทักษะการโต้แย้ง ความมีเหตุมีผล และความยืดหยุ่นในการให้ความร่วมมือ ความประนีประนอม และการฟังอีกด้วย
6. ความสามารถในการค้นหาและเลือกข้อมูล (The Ability to Find and Select Information) เกี่ยวข้องกับการที่ผู้เรียนมีวิจารณญาณในการสืบค้นและเลือกเนื้อหาสารสนเทศที่ค้นได้จากอินเทอร์เน็ต โดยเนื้อหานั้นมีความสัมพันธ์กับวิชาที่เรียน ซึ่งหมายถึงการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสารสนเทศที่ค้นมาได้จากหลาย ๆ แห่งในเว็บไซต์
7. การสื่อสารที่มีประสิทธิผล (Effective Communication) ความสามารถในการแสดงความคิด ความเข้าใจ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเลือกเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมที่สุดเพื่อใช้ในการทำงานของตนเอง การสื่อสารที่ดีจำเป็นต้องตระหนักและพิจารณาถึงความต้องการของผู้ชมและการสื่อสารที่มีความคิดซับซ้อนด้วยกรอธิบายให้ชัดเจนโดยสามารถเลือกรูปแบบเครื่องมือที่เหมาะสมในการนำเสนอ
8. ความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Safety) เป็นความสามารถทางการคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับความปลอดภัยจากการใช้เว็บไซต์ การสื่อสาร การสร้างและการทำงานอย่างร่วมกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้เรียนต้องพิจารณาว่าพฤติกรรมใดที่ทำไปแล้วก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย และสามารถตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่ออนไลน์

องค์ประกอบของการรู้ดิจิทัล
ที่มา : Hague & Payton (2010)
การรู้สื่อดิจิทัล มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดและทั้งสองใช้ทักษะหลักเดียวกันในการคิดเชิงวิพากษ์ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในวิธีที่ทั้งสองได้รับความสนใจจากมุมมองด้านการศึกษาโดยทั่วไป การรู้สื่อมักมุ่งเน้นการสอนเยาวชนให้เป็น ผู้บริโภค ที่กระตือรือร้นของสื่อ ในขณะที่การรู้ดิจิทัลช่วยให้เยาวชนสามารถมีส่วนร่วมในสื่อดิจิทัลได้อย่างชาญฉลาด ปลอดภัย และมีจริยธรรม อย่างไรก็ตามควรคำนึงว่า ความสามารถด้านการรู้สารสนเทศ การรู้ดิจิทัล และความรู้สื่อ จะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แต่ควรเสริมและสนับสนุนตลอดจนพัฒนาและสร้างจุดตัดกันที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องในรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ
จะเห็นได้ว่าหลัก ๆ การจัดองค์ประกอบของการรู้สื่อดิจิทัล มี5 องค์ประกอบ ดังนี้
1. องค์ประกอบที่ 1 เข้าถึง (Access: ACC) ความสามารถในการเข้าถึงสื่อดิจิทัลที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งสามารถเก็บรักษาข้อมูลที่มีความสำคัญในการเข้าใช้บัญชีที่เชื่อมโยงกับสื่อดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย
2. องค์ประกอบที่ 2 เข้าใจ (Understand: UND) มีความสามารถในการทำความเข้าใจและวิเคราะห์เนื้อหาที่ได้รับจากสื่อดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง ทั้งเนื้อหาที่เป็นเนื้อหาที่เป็นประโยค สั้น ๆ เช่น พาดหัวข่าวที่ปรากฏตามสื่อดิจิทัล และเนื้อหาที่เป็นความเรียง
3. องค์ประกอบที่ 3 ประเมิน (Evaluation: EVA) สามารถประเมินความน่าเชื่อถือของเนื้อหา แหล่งที่มาของข้อมูลต่าง ๆ ที่สื่อดิจิทัลนำเสนอว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ รวมทั้งสามารถตรวจสอบความปลอดภัยในการเข้าถึงแหล่งสื่อดิจิทัลต่าง ๆ ได้โดยพิจารณาจากปัจจัยที่หลากหลาย
4. องค์ประกอบที่ 4 มีส่วนร่วม (Act: ACT) สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นผ่านสื่อดิจิทัลด้วยถ้อยคำและเลือกช่องทางที่เหมาะสม ทั้งยังสามารถสร้างสื่อเพื่อนำเสนอสารสนเทศผ่านสื่อดิจิทัลและมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองนำเสนอ
5. องค์ประกอบที่ 5 จริยธรรม (Ethic: ETH) การใช้สื่อดิจิทัลโดยไม่กระทำการใด ๆ ที่ ส่งผลเสียต่อบุคคลอื่น โดยเคารพในสิทธิส่วนบุคคล รวมถึงการไม่เข้าใช้งานบัญชีของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่นำสื่อดิจิทัลต่าง ๆ ที่ตนได้พบมาใช้งานอย่างผิดลิขสิทธิ์
เครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ดิจิทัล
ในยุคดิจิทัล การเรียนรู้มีลักษณะไร้พรมแดนและมุ่งเน้นการพัฒนาบุคคลอย่างต่อเนื่อง การเข้าถึงความรู้ของผู้เรียนจึงอาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาและพัฒนาตนเอง ทำให้ผู้เรียนสามารถสะสมความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นผู้เรียนที่มีศักยภาพและมีคุณภาพในบริบทของการเรียนรู้สารสนเทศ การรู้ดิจิทัลจึงจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ทั้งโปรแกรมซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชันออนไลน์ และแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ ที่สามารถใช้งานได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงสนับสนุนการสื่อสาร การเรียนรู้ และการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาและแบ่งปันองค์ความรู้แก่ผู้อื่นได้อย่างหลากหลาย เป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพในยุคดิจิทัล
1. เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้
เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ เป็นโปรแกรมหรือแอพลิเคชันสำหรับการเรียนรู้ของผู้ใช้สารสนเทศในรูปแบบดิจิทัลโดยอาศัยอินเทอร์เน็ตและสามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต
2. ประเภทของเครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้
ฮาร์ท ผู้ก่อตั้งศูนย์เพื่อการเรียนรู้และเทคโนโลยีการปฏิบัติงาน (Centre for Learning and Performance Technologies) ในสหราชอาณาจักร ได้ดำเนินการวิจัยและสำรวจความนิยมในการใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้จากบุคคล หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ใน 52 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 เป็นต้นมา ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ได้รับการยอมรับและนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยมีความหลากหลายตามลักษณะการใช้งาน เพื่อให้ตอบสนองต่อรูปแบบการเรียนรู้ของผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม
จากผลการจำแนกประเภท เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้สามารถแบ่งออกตามลักษณะการใช้งานที่สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอนได้ 5 ประเภท ได้แก่ (1) เครื่องมือเพื่อการจัดการเรียนการสอน (2) เครื่องมือเพื่อการพัฒนาเนื้อหา (3) เครื่องมือทรัพยากรบนเว็บไซต์ (4) เครื่องมือทางสังคม และ (5) เครื่องมือส่วนบุคคลและการพัฒนางาน ทั้งนี้ การจัดหมวดหมู่ดังกล่าวช่วยให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของเครื่องมือดิจิทัลแต่ละประเภทที่สามารถสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เครื่องมือการจัดการเรียนการสอน (Instructional tools)
เครื่องมือการจัดการเรียนการสอน (Instructional tools) หมายถึง เครื่องมือดิจิทัลที่นำมาใช้เพื่อการออกแบบและจัดการกระบวนการเรียนการสอนออนไลน์ โดยรองรับการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งการเรียนเป็นรายวิชา การเรียนเฉพาะเรื่อง การเรียนรู้รายบุคคล ตลอดจนการเรียนรู้แบบกลุ่ม เครื่องมือดังกล่าวช่วยให้ผู้สอนสามารถนำเสนอเนื้อหาแก่ผู้เรียนได้หลายรูปแบบ เช่น ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก วิดีโอ เกม การ์ตูนแอนิเมชัน ตลอดจนแบบทดสอบที่ออกแบบเพื่อการประเมินผลการเรียนรู้ การประยุกต์ใช้เครื่องมือเหล่านี้มุ่งเน้นการสร้างกิจกรรมที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม การทำงานร่วมกัน และการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เครื่องมือการจัดการเรียนการสอนสามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทย่อย ได้แก่
1. เครื่องมือช่วยสร้างการเรียนรู้ (Authoring tools) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการออกแบบและพัฒนาเนื้อหาหรือบทเรียนในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในระบบการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม
2. ระบบการจัดการเรียนรู้ (Learning Management Systems and Learning Platforms) เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการกระบวนการเรียนการสอนทั้งหมด ตั้งแต่การลงทะเบียนเรียน การจัดเก็บเนื้อหา การติดตามผลการเรียน ตลอดจนการประเมินผล
3. เครื่องมือโต้ตอบในชั้นเรียน (Classroom Response Tools) เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนในระหว่างการจัดการเรียนการสอน เช่น แบบสอบถามออนไลน์ การโหวต หรือการทำแบบทดสอบทันที เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมและประเมินความเข้าใจของผู้เรียนได้อย่างทันท่วงที
2. เครื่องมือพัฒนาเนื้อหา (Content Development Tools)
เป็นเครื่องมือดิจิทัลที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างและออกแบบเนื้อหาการเรียนรู้ เนื่องจากเนื้อหาเป็นองค์ประกอบหลักที่ใช้ถ่ายทอดสารสนเทศให้มีความชัดเจน ถูกต้อง และน่าสนใจ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใฝ่รู้และมีแรงจูงใจในการเรียนรู้มากขึ้น การพัฒนาเนื้อหาสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกราฟิก ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว เกม แอนิเมชัน วิดีโอ หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีความจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) ที่สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เครื่องมือพัฒนาเนื้อหาสามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภทย่อย ได้แก่
1. เครื่องมือพัฒนาเนื้อหา (Content Development Tools) ใช้สำหรับสร้างและออกแบบสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัล เช่น โปรแกรมสร้างงานนำเสนอ โปรแกรมออกแบบกราฟิก หรือซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอ เพื่อให้ได้เนื้อหาที่เหมาะสมต่อการนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
2. เครื่องมือจับภาพหน้าจอและภาพเคลื่อนไหว (Screen Capture and Screen Casting Tools) ใช้สำหรับบันทึกภาพหน้าจอหรือการทำงานบนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัล เพื่อสร้างสื่อการสอนที่สามารถอธิบายขั้นตอนการใช้งาน การสาธิต หรือการนำเสนอเนื้อหาได้อย่างชัดเจน
3. เครื่องมือแบบฟอร์มสำรวจ (Survey Forms Tools) ใช้ในการสร้างแบบสอบถามหรือแบบสำรวจออนไลน์ เพื่อเก็บข้อมูลจากผู้เรียนหรือตอบสนองต่อกิจกรรมการเรียนรู้ อันจะช่วยในการวิเคราะห์ความต้องการและปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนมากขึ้น
3. เครื่องมือทรัพยากรบนเว็บไซต์ (Web Resources Tools)
เป็นเครื่องมือดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นบนระบบอินเทอร์เน็ตในลักษณะของเว็บไซต์ ซึ่งมีบทบาทเป็นแหล่งข้อมูลและบริการออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถเข้ามาศึกษา ค้นคว้า และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เครื่องมือเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการสืบค้นข้อมูล การอ่านสารสนเทศ การทำงานผ่านระบบออนไลน์ ตลอดจนการนำเสนอและเผยแพร่ความรู้ของตนเองในลักษณะการแบ่งปันแบบสาธารณะ จึงถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะดิจิทัลของผู้ใช้
เครื่องมือทรัพยากรบนเว็บไซต์สามารถจำแนกได้เป็น 5 ประเภทย่อย ได้แก่
1. เครื่องมือสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต (Web Browsers and Search Engines Tools) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงแหล่งข้อมูลจำนวนมหาศาลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. เครื่องมือแหล่งทรัพยากรสารสนเทศบนเว็บไซต์ (Web Resources Tools) เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล สารสนเทศ และองค์ความรู้ในสาขาต่าง ๆ ที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเพื่อการเรียนรู้และอ้างอิงได้โดยตรง
3. เครื่องมือหลักสูตรออนไลน์บนเว็บไซต์ (Web Course Platforms Tools) เป็นแพลตฟอร์มที่จัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าศึกษาหลักสูตรในหลากหลายสาขาวิชาได้ตามความสนใจ
4. เครื่องมือข่าวและการจัดการเนื้อหา (News and Curation Tools) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข่าวสารที่ทันสมัย และจัดระบบการเผยแพร่เนื้อหาตามความสนใจเฉพาะด้านได้อย่างเหมาะสม
5. เครื่องมือบล็อกและเว็บไซต์ (Blogging and Website Tools) เป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สร้างสรรค์ จัดการ และเผยแพร่เนื้อหาของตนเองในรูปแบบเว็บไซต์หรือบล็อก เพื่อใช้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และมุมมองต่อสาธารณะ
4. เครื่องมือทางสังคม (Social tools)
เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในลักษณะของสังคมออนไลน์ (Social Media) เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ การเผยแพร่ แลกเปลี่ยน และแบ่งปันเนื้อหาต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่จำกัดสถานที่ เครื่องมือทางสังคมสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทย่อย ดังนี้
1. เครื่องมือเครือข่ายทางสังคมและส่งข้อความ (Social networks and messaging tools) ใช้เพื่อสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์และการสื่อสารแบบทันทีระหว่างผู้ใช้
2. เครื่องมือการประชุมผ่านวิดีโอ (Video meeting tools) ใช้สำหรับการสื่อสารแบบพบหน้าในรูปแบบออนไลน์ ช่วยให้สามารถจัดการประชุมหรือการเรียนการสอนได้แบบเสมือนจริง
3. เครื่องมือการใช้แฟ้มข้อมูลร่วมกัน (File sharing tools) ช่วยในการจัดเก็บและแบ่งปันไฟล์ระหว่างผู้ใช้เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงและทำงานร่วมกัน
4. เครื่องมือการทำงานเป็นทีมและการทำงานร่วมกัน (Team and enterprise collaboration tools) ใช้สนับสนุนการทำงานร่วมกันในลักษณะกลุ่มหรือองค์กร โดยเน้นการประสานงานและการแบ่งปันข้อมูลอย่างเป็นระบบ
5. เครื่องมือส่วนบุคคลและพัฒนางาน (Personal & Professional tools)
เป็นเครื่องมือที่สนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเรียนรู้อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ อีกทั้งยังใช้เพื่อสร้างชิ้นงานและพัฒนางานของตนเอง ตลอดจนการดำเนินชีวิตประจำวันผ่านอุปกรณ์สื่อสารพกพาแบบไร้สาย เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเครื่องมือส่วนบุคคลและพัฒนางานสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทย่อย ได้แก่
1. เครื่องมือสำนักงาน (Office tools) เครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง จัดการ และแก้ไขเอกสาร รวมถึงการคำนวณและการนำเสนอข้อมูล
2. เครื่องมืออีเมล (Email tools) เครื่องมือที่ใช้เพื่อการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างบุคคลหรือองค์กรอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
3. เครื่องมือเพิ่มผลผลิตส่วนบุคคล (Personal productivity tools) เครื่องมือที่ช่วยในการวางแผน จัดการเวลา จัดเก็บข้อมูล และสนับสนุนการทำงานส่วนบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ
การเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อสร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านดิจิทัล
การปลูกฝังนิสัยการเรียนรู้ให้กับนักศึกษารุ่นใหม่ถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้แบบใหม่ต้องเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนหลายคนมีโอกาสศึกษาและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มทักษะและความสามารถในการค้นคว้าข้อมูลของแต่ละบุคคล และนำความรู้นั้นไปต่อยอดในการประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล จึงมีการนำเสนอแนวทางสำคัญในการสร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ปลูกฝังนิสัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ในอดีต การเรียนรู้มักมุ่งเน้นที่เนื้อหาเป็นหลักและถ่ายทอดจากครูสู่นักเรียนผ่านการจดจำ ท่องจำ หรือการอ่านและบันทึกเท่านั้น แต่ในสังคมปัจจุบัน การส่งเสริมให้นักศึกษาได้แสวงหาความรู้และศึกษาในสิ่งที่ตนสนใจและถนัด จะช่วยให้ค้นพบทักษะและความสามารถที่แท้จริง เพื่อนำไปใช้ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ รวมทั้งพัฒนาต่อยอดทักษะเพื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
2. ใช้โปรแกรมสำหรับค้นหาข้อมูล (Search Engine)
การเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจจำเป็นต้องอาศัยการสืบค้นด้วยตนเอง เครื่องมือค้นหาข้อมูลช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์การศึกษา บล็อกจากผู้เชี่ยวชาญ หรือหลักสูตรออนไลน์ ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่และนำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ประเมินสารสนเทศ (Assess Information)
นักศึกษายุคดิจิทัลได้รับสารสนเทศอย่างมากมายทั้งที่เป็นประโยชน์และอาจก่อให้เกิดโทษ ดังนั้นความสามารถในการประเมินคุณภาพของสารสนเทศ ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล และความถูกต้องของเนื้อหา จึงเป็นสิ่งสำคัญ การคัดเลือกและใช้สารสนเทศที่มีคุณค่าอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การเรียนรู้และการตัดสินใจมีความแม่นยำและมีประสิทธิผล
4. ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Idea)
ทักษะความคิดสร้างสรรค์เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเปิดมุมมองที่หลากหลาย ประกอบกับการใช้จินตนาการ จะช่วยให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงานและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง การปลูกฝังทัศนคติที่เปิดกว้างและไม่อคติยังเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล
Citation
ศราวุฒิ ด้วงเบ้า. (2568). การรู้ดิจิทัล. https://ajbeer.com/?p=1432
เขียนและเรียบเรียงบทความโดย
อ.ศราวุฒิ ด้วงเบ้า
นักวิชาการอิสระด้านสารสนเทศศาสตร์ นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ และการจัดการสื่อดิจิทัล
19 สิงหาคม 2568 เวล 14.08 น.
อ้างอิง
Bawden, D. (2008). Origins and concepts of digital literacy, In Digital literacies: Concepts, policies & practices. Peter Lang.
Hague, C. & Payton, S. (2010). Digital literacy across the curriculum. Futurelab.